วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Motivating Yourself (การสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง)

Motivating yourself: http://www.studygs.net/motivation.htm (1-6)

หลักการสร้างแรงจูงใจให้ตนเองมีดังนี้
•พยายามรำลึกอยู่เสมอว่าต้องการทราบ/รู้อะไร
•มีความรับผิดชอบในการเรียน
•ยอมรับในความเสี่ยงที่มีในการเรียนกับความเชื่อมั่น ความสามารถ ตนเอง
•จำไว้ว่าความล้มเหลวคือความสำเร็จ เรียนรู้จากความผิดพลาดคือสิ่งที่ดี
•ฉลองให้กับความสำเร็จของตนเองเมื่อทำงานเสร็จ

Defining the project (การกำหนดเรื่อง /Project)
1.สิ่งที่ต้องการจะศึกษาอย่างย่อ ๆ และได้ใจความ อย่าเขียนสิ่งที่ยากเกินไปเกินความสามารถ เขียนให้ครอบคลุมอย่างมากไปถึง 2 เดือน
2.ระบุ 3 เหตุผล ที่อยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ติดไว้ที่ผนังห้องหรือเก็บไว้ในสมุดบันทึก สิ่งที่ได้พบคุณจะ
-พยายามมากขึ้น
-ลองวิธีใหม่หากทำแล้วไม่ได้ผล
-ทำต่อไปเรื่อย ๆ
-ศึกษาอย่างลึกซึ้งลงไปอีก
แรงจูงใจเดิมที่มีคือแรงจูงใจของคุณและรวมถึงเป้าหมายของคุณ คุณค่า และความสนใจของคุณ นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ทำต่อไป ตัวอย่าง
-ฉันอยากเรียนรู้สิ่งที่สามารถสื่อสารกับเพื่อนได้เร็วขึ้น
-ฉันอยากเรียนรู้เกี่ยวกับทวีปอาฟริกาเพื่อรู้ประวัติศาสตร์ครอบครัวของฉัน
-ฉันอยากทำงานและเรียนรู้เกี่ยวกับสกีเพื่อเล่นสกีให้เก่งขึ้น
-ฉันอยากเรียนอุตสหกรรมงานไม้เพื่อทำตู้เครื่องเสียงของฉันเอง

3.Extrinsic value ระบุ 3 เหตุผลที่บางคนต้องการให้คุณศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่าแปะแผ่นนี้บนผนังแต่ให้เก็บไว้แล้วค่อยเอาออกมาทีหลัง หรือวางมันไว้ในหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก
บางครั้งแรงจูงใจอื่น ๆ มาจากภายนอกแต่ไม่มีความสำคัญเท่ากับแรงจูงใจของตนเอง มันรวมถึงเป้าหมาย คุณค่า และความสนใจของคนอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อคุณ คุณเรียนรู้วิธีที่จะหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ ได้รับรางวัล หรือชื่นชมบางคน ตัวอย่าง
ฉันเรียนรู้วันเวลาเพื่อให้ผ่านการสอบวิชาประวัติศาสตร์
ฉันเรียนรู้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแค่ให้ได้เข้าทำงาน
ฉันเรียนรู้หลักการเตะฟุตบอลเพื่อให้เป็นที่ชื่นชอบของครูฝึก
แรงจูงใจภายนอกไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เพียงแต่มันเป็นสิ่งไม่สำคัญเท่ากับแรงจูงใจของตัวเอง

4.การเลือกที่ปรึกษา
ผู้ใดเหมาะที่จะเป็นผู้ให้คำปรึกษา
•คนที่ไว้ใจได้
•เข้าใจเป้าหมาย/แรงจูงใจของคุณ
•เข้าใจ Project ของคุณ
•ติดตามสอบถามการทำงานของคุณเป็นระยะ ๆ
•ไม่ใช่ทดสอบการทำงานของคุณ
•ให้การสนับสนุนคุณไม่ใช่คอยตัดสินคุณ
•สามารถให้คำแนะนำหลากหลายวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
•ทำการติดต่อถึงคุณหากคุณหลีกเลี่ยงเขาหรือไม่ยอมทำ Project

การติดต่อสื่อสาร
-How (อย่างไร)? ไปพบด้วยตัวเอง โทรศัพท์ หรือ e-mail
-When (เมื่อไหร่)?
-How often (บ่อยแค่ไหน)? เจออย่างน้อย 3 ครั้ง (เริ่มทำ, ตอนกลาง และขั้นสรุป)
-Where (ที่ไหน)?

5.Developing the project การพฒนา Project
•มีลำดับขั้นการเรียนรู้หรือไม่ (บทอ่าน แนวคิด ทักษะ ระดับ เป็นต้น)
•จะใช้เวลาในการทำ Project นี้นานแค่ไหน (ระบุเป็นตารางชั่วโมง สัปดาห์)
•ใครคือผู้ให้คำปรึกษา (บรรนารักษ์ ครู อาจารย์ ผู้รู้อื่น ๆ เป็นต้น)
•แหล่งข้อมูลคือ หนังสือ บรรณานุกรม คู่มือ สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เว็บไซด์ เป็นต้น
•ทดสอบสิ่งที่ได้เรียนรู้ โดย การทดสอบ รายงาน ผลการเรียน เสียงสะท้อนจากเพื่อน ๆ หรือครู จำนวนหน้าที่ได้อ่าน หรืองานที่ทำเสร็จ เป็นต้น
•บันทึกความคืบหน้าของงานเป็นวัน สัปดาห์ เดือนที่ทำงานชิ้นนั้นเสร็จ
•รางวัลที่ให้กับความสำเร็จในการทำงานต้องสอดคล้องกับความก้าวหน้า ระดับความยากง่ายของชิ้นงาน
•เมื่องานไม่สำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้จะไปที่ไหน

6.Monitoring Progress เมื่อคุณได้เรียนรู้ คุณจำเป็นต้องทำสัญลักษณ์ไว้เพื่อบอกการก้าวหน้าในงานของคุณ
•อะไรคือขั้นตอนการเรียนรู้ เป็น บทเรียน แนวคิด และอะไรที่เป็นลำดับขั้นตอน เหล่านี้เป็นจุดหมายย่อย ๆ หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ควรบันทึกไว้ด้วย
•ได้พัฒนาทักษะอะไรจากการเรียนรู้ครั้งนี้ สามารถนำไปใช้ในการเรียนอื่น ๆ ได้หรือไม่ และจะจำได้หรือไม่
•อะไรที่ทำไม่สำเร็จ จำเป็นต้องย้อนกลับไปทำโดยใช้วิธีอื่นอีกหรือไม่
•มีอะไรบ้างที่ไม่สมเหตุสมผลหรือไม่ งานเหล่านั้นอาจจะรวมถึงความไม่เหมาะสมกันเพราะว่าพวกมันกระตุ้นความอยกรู้อยากเห็น
•จะให้รางวัลกับตัวเองอย่างไรเมื่อทำงานสำเร็จ
•ฉันได้คิดด้านบวกในเป้าหมายในใจ อย่าหลีกหนีปัญหา

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

I every time spent my half an hour to read this website's articles everyday along with a mug of coffee.

Feel free to surf to my blog - FDA approved diet and appetite suppressors in Miami